เมื่อคืนที่ผ่านมานี้ Apple ได้มีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ รวมทั้งเปิดตัวสำนักงานใหม่ ซึ่งเชื่อว่าน้องๆ น่าจะได้อ่านรีวิวผลิตภัณฑ์ใหม่กันพอสมควรแล้ว.. แต่สำหรับบทความนี้ Admission Premium จะพาไปดูเรื่องอื่นๆ รวมถึงนวัตกรรมที่ได้เปิดตัวกันบ้างว่ามีอะไรที่น่าสนใจและน่าติดตามกันบ้าง 
 

สำนักงานใหม่ Apple Campus

สำหรับงานเปิดตัวนี้ มีชื่อเต็มๆ  Apple Special Event ประจำเดือนกันยายน โดยครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เปิดตัวที่สำนักแห่งใหม่ของ Apple เอง โดยฮอลล์ที่ใช้ทำการเปิดตัวนั่นคือ Steve Jobs Theter มาจากชื่อผู้ก่อตั้งและพวกเรารู้จักกันอย่างดี นั่นก็คือ สตีฟ จ๊อบส์ นั่นเอง (โดยในช่วงต้นของงานก็มีการเปิดเสียงสุนทรพจน์ที่สตีฟ จ็อบส์ เคยกล่าวไว้เพื่อรำลึกถึง 10 ปีของการเปลี่ยนแปลงโลกของโทรศัพท์ในปัจจุบัน)

โดยในงานเปิดตัวนี้ Apple ได้เปิดวีดีโอที่ภายชมส่วนต่างๆ ของ Steve Jobs Theter ให้ได้เห็นถึงสถาปัตยกรรมต่างๆ รวมถึงบรรยายกาศก่อนที่เหล่า Blogger, Developer, นักข่าวจะเข้าสู่งาน.. ยอมรับเลยว่าเห็นแล้วอยากลองไปสัมผัสสถานที่จริงเลย 





สำหรับ Apple Campus นี้เป็นผลงานที่สตีฟ จ็อบส์ต้องการให้เกิดขึ้น เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับทีมงานได้เกิดไอเดียใหม่ๆ ในการทำงาน มีจุดเด่นที่เป็นอาคารที่ใช้พลังงานสะอาด 100% ที่ใหญ่ที่สุด ด้วยพื้นที่กว่า 438 ไร่ และมีต้นไม้มากกว่า 9,000 ต้น ส่วนตัวอากคารมีกระจกโค้งที่ใหญ่ที่สุดและสามารถเห็นวิวของ Cupertino, California ได้ 360 องศาเลยทีเดียว

นอกจากที่สถานที่แห่งนี้ยังเป็นสำนักงานใหญ่แล้ว ยังมีส่วนสำหรับแขกหรือผู้เยี่ยมชม และคาเฟ่ให้บริการอีกด้วย.. หากใครมีโอกาสได้แวะไปก็อย่าลืมถ่ายรูปมาอวดกันด้วยนะ ;)
 

เมื่อ Apple Retail เป็นมากกว่าร้านค้า

Retail Shop หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ Apple Store ได้มีการปรับปรุงรูปแบบของร้านค้าใหม่ ให้มีประสบกาณ์ที่ดีในการเข้าใช้งานมากขึ้น เพราะมีทั้งเจ้าหน้าที่ที่คอยให้คำปรึกษาในการใช้งานผลิตภัณฑ์ตลอด ใช้งานไม่เป็น เครื่องมีปัญหา ก็สามารถแบกนำมาให้สอน หรือตรวจสอบ และแก้ไขได้ที่นี่เลย รวมทั้งจะเริ่มมีกิจกรรมต่างๆ ที่เข้ามาให้ Apple Store มีชีวิตมากขึ้น เช่นการจัดบรรยายหรือพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ, มินิคอนเสิร์ต หรือแม้กระทั่งฉายหนังการแปลงก็มี

( ทั้งนี้ ในประเทศไทยยังไม่มี Apple Sote อย่างเป็นทางการ ที่เห็นกันนั้นคือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ.. แต่จากบางข่าวแจ้งว่า อาจจะมีในประเทศไทยเร็วๆ นี้ ต้องรอติดตามต่อไปนะ )




 

Apple Watch 3 อัปเกรดให้ใช้งานได้มากกว่าเดิม

Apple Watch 3 ได้มีการอัปเกรดและปรับสเปคให้รองรับการเชื่อมต่อผ่าน eSiM ที่ฝั่งเอาไว้ด้านใน ซึ่งจะทำให้เราสามารถใช้งานได้มากขึ้น ทั้งโทรศัพท์, ส่งข้อความ, คุยกับ Siri หรือฟังเพลงจาก Apple Music ได้โดยไม่ต้องพกมือถือให้อยู่ติดตัวเหมือนที่ผ่านมา โดยระบบ eSIM นั้นจะคล้ายๆ Multi sim ที่ใครหลายคนเคยใช้ในปัจจุบัน นั่นคือเป็นการใช้หมายเลขเดียวกัน แต่แชร์แพ็คเกจการใช้งานนั่นเอง

ในส่วนแอปพลิเคชันใน Apple Watch 3 ได้เพิ่มความสามารถทางด้านสุขภาพและกีฬามากขึ้น เช่น กันน้ำได้นานขึ้น การตรวจสอบค่า Resting Hert Rate หลังจากการออกกำลังกายเสร็จ รวมทั้งการร่วมมือกับมหาวิทยาลัยแสตนฟอร์ต ในการตรวจหาโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ เพื่อพัฒนาและต่อยอดจากข้อมูลทั้งหมดมาประมวล วิเคราะห์ และแสดงผลนั่นเอง

สำหรับแบตเตอรี่ของ Apple Watch นั้นแอปเปิ้ลเคลมว่าอยู่ได้ 18 ชั่วโมง ก็เป็นที่น่าเสียดายและต้องลุ้นกันต่อไปว่า แอปเปิลจะสามารถแก้ไขปัญหาให้แบตเตอรี่นานขึ้นกว่านี้ได้หรือไม่




 

Apple TV รองรับ 4K HDR แล้วนะ

ในที่สุด Apple TV ก็ได้อัปเดตให้ทันเพื่อนบ้านกับเขาสักทีแล้ว โดยในรอบนี้ได้รองรับการแสดงผลแบบ 4K เห็นภาพได้อย่างคมชัดบาดลึก โดยพ่วงมากกับ HDR

ถึงแม้ตอนนี้ Content ที่เป็นระบบ 4K ยังมีไม่มากนัก แต่ไม่ต้องห่วง เพราะแอปเปิลได้มีการทำพาร์ทเนอร์ของรายการและภาพยนตร์ต่างๆ รวมทั้ง Amazon Prime ที่มีภาพยนตร์แบบ HDR ให้ได้ชมกัน 

ส่วนการเล่นเกมผ่าน Apple TV ก็รองรับการเล่นได้สูงสุด 8 คน! เพราะได้ชิปใหม่ในการประมวลผลทำให้ประมวลผลได้เร็วกว่าและดีกว่าเดิมมากเลยทีเดียว (แต่ทั้งนี้ยังไม่มีการประกาศออกมาว่า 8 คนที่เล่นพร้อมกัน ต้องมีรีโมตทุกคน หรือสามารถใช้ iPhone ควบคุมได้ด้วย)




 

iPhone 8 โทรศัพท์รุ่นใหม่ และตกรุ่นเร็วที่สุด!

ในงานเปิดตัวครั้งนี้ ผลิตภัณฑ์ที่น่าสงสารและน่าจะแอบไปร้องไห้คนเดียวนั่นคือ iPhone 8 เพราะไม่มีอะไรที่โดดเด่นไปจากรุ่นที่แล้วมากนัก แถมยังโดนขโมยซีนด้วย iPhone X ที่เปิดตัวต่อกันอีกต่างหาก..

โดยการเปลี่ยนแปลงของ iPhone 8 ไม่มีอะไรมากนัก นั่นคือเปลี่ยนมาใช้โลหะกับกระจกแทน เพื่อรองรับการชาร์ตไร้สาย (หรือ Wireless Charging) เข้ามาด้วย รวมทั้งพัฒนาการชาร์จผ่านสายปกติให้เต็มเร็วขึ้นกว่าเดิม

หน้าจอมีการเปลี่ยนไปใช้เทคโนโลยีแบบ True Tone Display ที่ปรับแสงและปรัับสีของหน้าจอตามสภาพบรรยายกาศ ส่วนกล้องนั่นไม่ได้ลงรายละเอียดเยอะเท่าไรนัก แต่เป็นการเปลี่ยนเซ็นเซอร์ตัวใหม่ที่ดีขึ้น เก็บรายละเอียดสีได้มากกว่าเดิม แต่รูรับแสงยังคงเท่าเดิม และมีโหมดถ่ายภาพแบบใหม่ คือ Portait Lighting ที่สามารถเติมแสงสว่างให้ใบหน้าของเราได้มากกว่าเดิม แถมมีหลายรูปแบบให้เลือกด้วย ส่วนการถ่ายวีดีโอ สามารถ่ายได้คุณภาพสูงสุดคือ 4K ที่ 60fps และสามารถ่ายแบบ Slow Motion ที่ความละเอียด 1080p 240fps 


 

 

One more thing.. iPhone X มือถือขโมยซีนดีเด่นแห่งปี

หลายคนอาจสงสัย ว่าทำไม x ถึงเรียกว่า 10 เพราะมันคือเลขโรมันนั่นเอง (โดยที่แอปเปิลเคย ใช้ x แทนเลข 10 มาแล้วตอน macOS X นั่นเอง)

สำหรับ iPhone X เป็นรุ่นพิเศษที่เปิดตัวออกมา โดยที่ได้มาการโม้ เอ้ย! คุยว่าเป็น Smartphone แห่งอนาคตและเป็นสิ่งที่จะกำหนดทิศทางของมือถือยุคใหม่ โดยเป็นโทรศัพท์ที่มีขนาดหน้าจอเต็มพื้นที่จุใจ 5.8 นิ้ว ความละเอียด 2436 x 1125 พิกเซล แต่น่าเสียดายตรงที่ว่ามีแถบดำพาดด้านบนเล็กน้อย (เป็นส่วนของกล้องหน้า และเทคโนโลยี Face ID) ซึ่งฝั่งผู้พัฒนาแอปพลิเคชันที่ต้องเล่นเต็มจอแบบแนวนอนและมีการกดทางด้านซ่ายมือ ก็คงต้องนั่งแก้ไข Interface กันใหม่พอสมควรเลย 

ตัวเครื่องใช้วัสดุกระจกและกรอบสแตนเลสเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งที่หน้าขึ้น และมีการลงหมึก 7 ชั้น ทำให้มองเห็นเฉดสีและความทึบแสงได้อย่างแม่นยำ

สำหรับความสามารถนั้นคงไม่ต้องกล่าวถึงมาก เพราะมันคือความสามารถของ iPhone 8 และเพิ่มเติมให้ว้าวยิ่งขึ้น มากกว่าเดิม และดูสนุกกว่าเดิมด้วย ส่วนหน้าจอถูกเรียกใหม่ว่า Super Retina HD และเป็นครั้งแรกที่ iPhone ใช้จอแบบ OLED พร้อมกับการแสดงผลแบบ Dolby Vision และ HDR10 ส่วนกล้องหลังเป็นกล้องคู่ 12MP มีระบบกันสั่นใส่ให้เรียบร้อย โดยเซ็นเซอร์ที่ใส่มานั้นใหญ่กว่าและดีกว่า iPhone 8 อีก..

ส่วนแบตเตอรี่ได้มีการปรับปรุงให้อยู่ได้ยาวขึ้นกว่า iPhone 7 ประมาณ 2 ชั่วโมง (ราวๆ 14 - 16 ชั่วโมง)

Face ID.. เพราะหน้าเราคือสิ่งสำคัญ

เพราะ iPhone X โดนตัดปุ่ม Home ออกไป และเปลี่ยนมาใช้ Face ID แทน โดยที่จะใช้ร่วมกับกล้องหน้าแบบ TrueDepth และมีเซ็นเซอร์และอินฟาเรดที่พัฒนามาเฉพาะ โดย FaceID จะทำงานได้ถึงแม้จะอยู่ในที่มืดก็ตาม และจะเรียนรู้พร้อมจดจำใบหน้าของผู้ใช้ สามารถแยกได้ว่าใบหน้าไหนคือใบหน้าจริง โดยจะปลดล็อกเครื่องมื่อเรามองจอและลืมตาเท่านั้น 

ทั้งนี้ความพิเศษอีกขั้นคือ มี Dot Projector ที่จะแสนหน้าตาเราพร้อมพล็อตจุดลงไปเป็นแบบ 3 มิิติ ดังนั้นจะแอบเอารูปถ่ายเรามาโชว์เพื่อปลดล็อกเครื่องไม่สามารถทำได้แล้วนะ! 

Animoji อีโมจิแบบแอนิเมชั่น

อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นลูกเล่นที่สร้างสีสันที่สุดในงานนี้คือ Animoji โดยทำงานร่วมกับกล้องหน้า TrueDepth ที่วิเคราะห์โครงหน้าและการเคลื่อนไหวของใบหน้าของเรา โดยเราเพียงกดเลือกอีโมจิที่เราต้องการ และกดบันทึกความเคลื่อนไหวและเสียง พร้อมส่งให้เพื่อนได้ทันที

แต่บอกไว้ก่อนว่า ส่งให้กันได้เฉพาะผู้ใช้งาน iMessage เท่านั้น! 

AirPower ชาร์ตพร้อมกันในครั้งเดียว

สำหรับสาวก Apple ที่มีผลิตภัณฑ์ทั้ง iPhone, Apple Watch, Earpods และต้องเสียสายเข้าออก หรือมีสายพันกันมากมาย.. ทางแอปเปิลได้แก้ปัญหานี้ด้วยการออกแท่นไร้สาย AirPower ที่สามารถชาร์ตทั้ง 3 ผลิตภัณฑ์ได้ในครั้งเดียว พร้อมจับคู่กับเครื่องได้อัตโนมัติโดยไม่ต้องเสียเวลาตั้งค่าเองด้วย

อย่างที่แอเปิลได้บอกไว้ว่าจะเป็นอนาคตของมือถือยุคใหม่ ดังนั้นการชาร์จไร้สายจึงเป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์ที่สำคัญและขาดไม่ได้ เพราะหากสังเกตุมือถือในยุคปัจจุบัน หลายๆ ค่ายก็มีฟีเจอร์ชาร์ตไร้สายกันแล้ว

สรุปรุ่น iPhone ที่ยังมีจำหน่ายและราคาทั้งหมด

สำหรับรุ่นที่รองรับและจัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการมีทั้งหมด 5 รุ่นด้วยกัน โดยเริ่มต้นจาก iPhone SE / 6s / 7 / 8 และ X .. ส่วนราคาก็อาจจะต้องเก็บออมกันนานพอสมควรเลยทีเดียว






จากข้อมูลทั้งหมดก็ได้เห็นภาพรวม และนวัตกรรมใหม่ของ Apple กันไปแล้ว ซึ่งเทคโนโลยีทั้งหมดนี้เราไม่จำเป็นต้องตามเก็บหรือเป็นเจ้าของทุกอย่าง แต่หากมีโอกาสก็ลองไปเล่นและสัมผัสประสบการณ์กันได้ ใครได้ลองใช้งานแล้วอย่าลืมมาแบ่งปันพี่ๆ กันด้วยนะ ;)

ส่วนน้องๆ ที่สนใจและเห็นแรงบันดาลใจอยากเรียนเพื่อสร้างสรรค์โทรศัพท์เครื่องใหม่ รุ่นใหม่ ก็สามารถเรียนได้่ในสายวิศวกรรมศาสตร์ (เช่น วิศวกรรมคอมพิวเตอร์) หรือหากอยากเรียนด้านการออกแบบกราฟิกและอินเตอร์เฟซสวยๆ งามๆ ก็แนะนำให้เรียนทางด้านสาย วิทยาการคอมพิวเตอร์, การออกแบบสื่อปฏิสัมพันธ์และมัลติมีเดีย, การออกแบบเว็บและสื่อตอบโต้, วิศวกรรมมัลติมีเดีย, เทคโนโลยีมัลติมีเดีย เป็นต้น

หวังว่าการเปิดตัว iPhone 8 และ iPhone X ในครั้งนี้อาจเป็นแรงบันดาลใจให้มีนักนวัตกรคนใหม่เกิดขึ้นนะ