ชายผู้เปลี่ยนโลกด้วยตาที่มองเห็นแค่ ‘สีฟ้า’ เพียงสีเดียว

          Facebook.com (เฟซบุ๊ก) เว็บไซต์เครือข่ายสังคมออนไลน์ยอดนิยมแห่งยุค ที่ยากจะหาใครมาโค่นตำแหน่งนี้ลงได้ในขณะนี้ เกิดขึ้นด้วยความต้องการของผู้ก่อตั้งอย่าง ‘มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg)’ เพื่อส่งเสริมและสร้างปฎิสัมพันธ์ของคนในโลกออนไลน์ให้เข้าถึงกันได้ง่ายดายและกว้างขว้าง ด้วยเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร โดยทุกคนสามารถแสดงความคิดเห็น (Comment) ลงในโปรไฟล์หรือรูปภาพของเพื่อนได้อย่างรวดเร็ว รวมไปถึงยังสามารถพูดคุยตอบโต้กันแบบตัวต่อตัวได้อีกด้วย ซึ่งในสมัยที่มาร์คเริ่มก่อตั้งเฟซบุ๊กขึ้นมายังไม่มีเว็บไซต์ไหนตอบโจทย์การใช้งานของผู้บริโภคได้ดีเท่าเฟซบุ๊กเลย จึงถือได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ที่ครองใจทุกคนนับแต่นั้นมาจนถึงทุกวันนี้

          และอีกหนึ่งเอกลักษณ์ของเฟสบุ๊กที่ใครๆ ต่างก็ต้องจดจำได้เป็นอย่างดีก็คือ โลโก้สี่เหลี่ยมจตุรัสสีฟ้าที่มีตัวอักษร F สีขาวอยู่ข้างใน รวมไปถึงการตกแต่งหน้าตาของเว็บไซต์ให้ดูเรียบง่ายด้วยโทนสีฟ้า-ขาว แต่ใครจะรู้ว่าเหตุผลที่ทำให้มาร์คเลือกใช้สีฟ้ากับผลิตภัฑณ์ของตัวเองก็เพราะว่าเขา ‘ตาบอดสี’ นั้นเอง
 

          อ่านไม่ผิดหรอกค่ะ! มาร์ค ซักเคอร์เบิร์กตาบอดสีจริงๆ ด้วยความผิดปกติในการมองเห็นสีแดงและสีเขียวไม่ชัดเจนตาบอดสีเกิดจากเซลล์ประสาทชนิดหนึ่งในม่านตาทำงานผิดปกติ ส่งผลให้ดวงตาไม่สามารถที่จะมองเห็นสีบางสีได้อย่างชัดเจน แต่ในความโชคร้ายก็ยังมีโชคดีอยู่คือคนที่ตาบอดสีจะมีความสามารถในการแยกเฉดสีได้ดีกว่าคนปกติถึงแม้เฉดสีจะแตกต่างกันพียงเล็กน้อยก็ตาม นั่นจึงทำให้มาร์คมองเห็นสีฟ้าได้ชัดเจนและละเอียดกว่าคนอื่นๆ เช่นคำกล่าวของเขาที่ว่า ‘สีฟ้าเป็นเหมือนสีแห่งความมั่นคง มองไปทางไหนก็เห็นแต่สีฟ้าเต็มไปหมด’

          มาถึงตรงนี้แล้วนอกจากที่เราจะได้รู้ถึงที่มาที่ไปของเฟซบุ๊กที่เราใช้กันอยู่ทุกวันแล้ว ยังจะได้เรียนรู้เพิ่มเติมอีกว่าคนที่ประสบความสำเร็จมหาศาลอย่าง มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก ก็มีจุดด้อยในชีวิตและร่างกายเหมือนกับคนอื่นๆ บนโลกนี้ แต่เขากลับไม่เคยย่อท้อหรือนำจุดด้อยนั้นมาทำให้ตัวเขาหยุดที่จะก้าวต่อไปข้างหน้าได้เลย น้องคนไหนที่กำลังท้อแท้ หมดกำลัง คิดว่าตัวเองไม่เก่ง สู้คนอื่นไม่ได้ พี่อยากให้น้องนำมาร์ค ซักเคอร์เบิร์กไปเป็นอีกหนึ่งแรงบันดาลใจหรือแรงผลักดันที่จะทำให้น้องกลับมาสู้ใหม่อีกครั้งนึง สู้ๆ ค่ะ



ข้อมูลอ้างอิง : PETMAYA, Wikipedia, CNN