ครั้งแรกของประเทศไทยและภูมิภาคเอเชีย ที่ประสบความสำเร็จการรักษาม้าด้วยการใช้เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ

 

            ม.เกษตรศาสตร์ ประสบความสำเร็จการรักษาม้าด้วยการใช้เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ ครั้งแรกของประเทศไทย และครั้งแรกในภูมิภาคเอเชีย
           นายจงรัก วัชรินทร์รัตน์ รักษาการแทนอธิการบดีมหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ และทีมสัตวแพทย์ คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ ร่วมแถลงความสำเร็จการรักษาม้าด้วยการใช้เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจครั้งแรกของประเทศไทย และครั้งแรกในภูมิภาคเอเชีย โดยม้าถือเป็นสัตว์สำคัญทางเศรษฐกิจของประเทศไทย รวมทั้งประเทศไทยมีชื่อเสียงด้านกีฬาขี่ม้า  หากม้ามีภาวะความเสี่ยงโรคหัวใจ จะส่งผลต่อสมรรถภาพทางร่างกาย การรักษาโรคหัวใจในม้า โดยการผ่าตัดใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ ครั้งนี้ นับเป็นความสำเร็จด้านการบริการทางวิชาการที่ให้กับเจ้าของม้าได้มีโอกาสเข้าถึงสวัสดิการการรักษา และด้านการวิจัย หวังยกระดับให้ประเทศไทยเป็นผู้นำด้านงานสัตวแพทย์ในภูมิภาคอาเชียนและเอเชีย

           โดยม้าที่เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลสัตว์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน คือม้าเพศผู้ พันธุ์ Warmblood ชื่อไทเกอร์ อายุ18 ปี น้ำหนัก 530 กิโลกรัมเนื่องจากมีความสามารถในการออกกำลังกายลดลง และมีอาการอ่อนเพลียเรื้อรังหลังจากทำการตรวจวินิจฉัยพบว่า ม้ามีอัตราการเต้นของหัวใจที่ช้าผิดปกติ และ พบความผิดปกติของจังหวะการเต้นของหัวใจแบบไม่สม่ำเสมอ ทีมแพทย์จึงได้ทำการวินิจฉัยเพิ่มเติมโดยการใช้เครื่องมือตรวจหัวใจ พบว่า ม้ามีความผิดปกติของจังหวะการเต้นของหัวใจห้องบน แบบกระจัดกระจาย หัวใจเต้นช้าผิดปกติ และมีจังหวะของหัวใจนานเกินกว่า 6 วินาที เสี่ยงต่อการเกิดภาวะปริมาณเลือดที่ออกจากหัวใจลดลงอาจส่งผลให้การทำงานของหัวใจล้มเหลวได้โดยทีมสัตวแพทย์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้วางแผนการรักษา โดยการผ่าตัดสอดสายสวนเข้าไปเพื่อกระตุ้นหัวใจ (pacemaker) หลังผ่าตัด พบว่า ม้ามีอาการหน้าด้านขวาบวม จึงทำการแก้ไข โดยให้ยาเพื่อควบคุมการอักเสบ เป็นเวลา 3วัน  ทำให้ม้าฟื้นตัวจากการผ่าตัดได้ดี และติดตามผลหลังใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ หลังผ่าตัด1เดือน พบว่าไม่มีภาวะแทรกซ้อน ม้ามีจังหวะการเต้นของหัวใจสม่ำเสมอ   มีการทำงานของหัวใจดีขึ้น ส่งผลให้มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น มีสมรรถภาพด้านการกีฬาดีขึ้น ก่อให้เกิดความก้าวหน้าในแนวทางรักษาโรคหัวใจในม้า และเป็นประโยชน์ในการเผยแพร่องค์ความรู้ใหม่ต่อไป.


ที่มา : สำนักข่าวไทย