สอบเข้ามหาวิทยาลัย

มัธยม VS มหาวิทยาลัย ต่างกันอย่างไร


มัธยม VS มหาวิทยาลัย ต่างกันอย่างไร

คงอีกไม่กี่เดือน หลาย ๆ มหาวิทยาลัยก็จะเริ่มทะยอยเปิดภาคการศึกษาอย่างเป็นทางการ น้องที่กำลังจะเข้าเรียนในรั้วมหาวิทยาลัยคงต้องอาศัยการปรับตัวอยู่อีกพักหนึ่ง แต่จะดีกว่าไหม?  ถ้าเรารู้ว่ามหาวิทยาลัยกับมัธยมนั้นมีความแตกต่างกันอย่างไรก็คงจะ  เพราะเราจะได้เตรียมตัว เตรียมความพร้อมรับมือได้อย่างง่ายดาย วันนี้พี่ Admission Premium จึงได้รวบรวมข้อมูลความแตกต่างของ มัธยม VS มหาวิทยาลัย มาฝากน้อง ๆ จะมีอะไรแตกต่างกันบ้างเอาเป็นว่าเราไปดูกันเลย !!!
 

1. ตารางและเวลาเข้าเรียน

มัธยมเราเคยเรียนเป็นชั่วโมง หรือประมาณวันละ 6- 8 วิชา แต่การเรียนในมหาวิทยาลัยในหนึ่งวันเรียนประมาณ 3 – 4 วิชา วิชาประมาณ 2- 3 ชั่วโมง นอกจากนี้ยังแบ่งเรียนแต่ละวันไม่เหมือนกัน บางวันเรียนแค่ช่วงเช้า หรือบางวันเรียนแค่ช่วงบ่าย หรืออาจจะมีเรียนเสาร์ – อาทิตย์ ในส่วนของตารางเรียนน้อง ๆ เคยต้องเรียนตามตารางที่โรงเรียนจัดวางไว้ให้ แต่ในมหาวิทยาลัยสามารถเลือกเรียนวิชาต่าง ๆ ได้ด้วยตนเอง  แต่ต้องตามหลังสูตรเก็บหน่วยกิตให้ครบตามหลักสูตร

2. ข้อสอบปรนัยและอัตนัย

ตอนเรียนมัธยมเจอข้อสอบแบบปรนัย (กากบาท) เป็นส่วนใหญ่  แต่พอเข้าเรียนมหาวิทยาลัยแล้วข้อสอบส่วนใหญ่เป็นเป็นอัตนัย (ข้อเขียน ) เขียนอธิบายความเข้าใจ  ในเนื้อหาที่เรียนรู้ให้ได้  ถือเป็นทักษะที่จำเป็นอย่างมากในระดับมหาวิทยาลัย  ที่สำคัญการเขียนควรเขียนตัวหนังสือให้อ่านออก ไม่ใช่เราอ่านได้คนเดียว

3. ไม่มีเกรด 0 – 4 มีแต่ A - F

การตัดเกรดในมหาวิทยาลัยก็จะมีความแตกต่างออกไปจากที่น้อง ๆ คุ้นเคยจากเกรด 0- 4 มาเป็น A - F เกรดในมหาวิทยาลัยแต่ละรายวิชา จะออกมาเป็นตัวอักษร ดังนี้
A  =  4.00,  B+ = 3.5,  B = 3.00,  C+ = 2.5,  C = 2.00,  D+ = 1.5,  D =  1.00,  F = สอบตก/ขาดสอบ หรือคะแนนไม่ถึงเกณฑ์  ในกรณีติด F นั้นน้อง ๆ สามารถลงเรียนใหม่ได้อีกเพื่อแก้ไขเกรดคล้ายกับการแก้ 0 ร. หรือ มส. ในช่วงมัธยม

4. การสอนและอุปกรณ์การเรียน

น้อง ๆ อาจจะเคยชินกับการสอนบนกระดานหรือเนื้อหาในหนังสือ  มีคุณครูที่สอนเนื้อหาต่าง ๆ ตามในหนังสืออาศัยการเรียนรู้จากตำราเรียนของกระทรวงศึกษา มีหนังสือสมุดหลาย ๆ เล่มแยกเป็นรายวิชา  แต่ในมหาวิทยาลัยนั้นเปรียบเสมอแหล่งเรียนรู้ที่น้อง ๆ ต้องเรียนรู้และเก็บเกี่ยวความรู้ด้วยตนเอง  อาศัยการเรียนรู้จากทฤษฏี  เพื่อนนำมาเรียนรู้ปรากฏการทางสังคม และจะไม่มีอาจารย์มานั่งสอนหรือคอยตามงาน โดยส่วนมากจะไม่ค่อยมีหนังสือมากนักแต่จะมีสมุดเพื่อจดบันทึกความรู้เท่านั้น หรือจะพูดง่าย ๆ แค่ปากกาหนึ่งด้ามกับสมุดหนึ่งเล่ม ก็โอละนะ

5. ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต

พอพูดเข้าจริง ๆ มัธยมถือว่าเป็นช่วงชีวิตที่มีความสุขมาก ๆ เริ่มจากการตื่นนอนที่มีคนปลุก การกินที่มีคนเตรียมกับข้าวไว้ให้ อาจจะน่ารำคาญตอนเขาแถวหน้าเสาร์ธงหรือจะมองซ้ายก็เห็นรั้วโรงเรียน มองขวาก็เห็นครูปกครอง เวลาเรียนเสร็จมีเสียงกริ่งบอกเวลาเลิกเรียน แต่เมื่อน้องได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว สิ่งที่ต้องมีให้มากที่สุด คือ ความรับผิดชอบต่อตนเอง เพราะจะไม่มีใครปลุก ไม่มีคนเตรียมกับข้าวให้ เวลาเรียนไม่มีเสียงกริ่งบอกเวลา หรือแม้แต่การส่งงานก็จะไม่มีคนมาคอยตาม ฉนั้นอย่างที่พี่บอกไป ชีวิตในมหาวิทยาลัยต้องมี " ความรับผิดชอบ "

เป็นยังไงกันบ้างน้อง ๆ กับความแตกต่างระหว่างมัธยม  และมหาวิทยาลัย  5 สิ่งที่พี่นำมาฝากนี้เป็นเพียงแค่ส่วนที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัดเจนเท่านั้น  แท้จริงแล้วชีวิตในช่วงวัยมหาวิทยาลัยยังมีความแต่ต่างอีกมากมาย  หากจะเปรียบเทียบให้เห็นได้ชัดนั้น คือ การทดลองใช้ชีวิตเพื่อที่จะก้าวเข้าสู่วัยทำงาน ดังนั้นเราควรเรียนรู้และประคับประคองชีวิตให้ดีเท่าที่เราจะทำได้ แล้วน้อง ๆ จะรู้ว่ามหาวิทยาลัยมีอะไรให้เรียนรู้อีกเยอะ

อ้างอิง >>> www.scholarship.in.th