Time Blocking คืออะไร?
Time Blocking คือการแบ่งเวลาในแต่ละวันเป็น "บลอก" และกำหนดว่าแต่ละบลอกจะทำอะไร แทนที่จะมีแค่ To-Do List ที่บอกว่า "วันนี้ต้องทำอะไรบ้าง" Time Blocking จะบอกว่า "เมื่อไหร่จะทำอะไร"
ตัวอย่าง To-Do List:
- ทำการบ้านคณิต
- อ่านหนังสือชีวะ
- ทบทวนฟิสิกส์
- ออกกำลังกาย
ตัวอย่าง Time Blocking:
- 16:00-17:00 ทำการบ้านคณิต
- 17:00-18:00 อ่านหนังสือชีวะ บท 5
- 18:00-18:30 ทานข้าว พักผ่อน
- 18:30-19:30 ทบทวนฟิสิกส์ (โจทย์แรง)
- 19:30-20:00 ออกกำลังกาย
ทำไม Time Blocking ถึงดีกว่า To-Do List?
1. มี Commitment ชัดเจน
- To-Do List บอกแค่ "ต้องทำ" แต่ไม่บอกว่า "เมื่อไหร่"
- Time Blocking บังคับให้เรา commit ว่าจะทำเมื่อไหร่
2. ลด Decision Fatigue
- ไม่ต้องคิดทุกครั้งว่า "ตอนนี้จะทำอะไรดี?"
- เปิดปฏิทินมาดูว่าช่วงนี้ต้องทำอะไร ทำเลย
3. เห็นภาพรวมของเวลา
- รู้ว่ามีเวลาว่างเท่าไหร่จริงๆ
- ไม่ overcommit หรือคิดว่ามีเวลามากกว่าความจริง
4. ป้องกัน Procrastination
- เมื่อมีเวลาจองไว้แล้ว รู้สึกมี accountability มากขึ้น
- ยากที่จะผัดวันประกันพรุ่งเมื่อเห็นว่าช่วงนี้ต้องทำอะไร
Time Blocking สำหรับนักเรียน: วิธีเริ่มต้น
ขั้นที่ 1: รู้จักตารางเวลาประจำ
เขียนตารางสัปดาห์ โดยใส่สิ่งที่ เปลี่ยนไม่ได้:
- เวลาเรียน (8:00-15:30)
- เวลากินข้าว
- เวลานอน
- กิจกรรมประจำ (ชุมนุม กวดวิชา)
ผลที่ได้: จะเห็นว่ามี "เวลาว่าง" จริงๆ เท่าไหร่
ขั้นที่ 2: ระบุงานที่ต้องทำ
แบ่งงานออกเป็น 3 ประเภท:
Deep Work - งานที่ต้องสมาธิสูง:
- ทำโจทย์คณิต ฟิสิกส์ เคมี
- อ่านหนังสือเข้าใจลึก
- เขียนเรียงความ รายงาน
Shallow Work - งานที่ทำได้ง่าย:
- ทำการบ้านที่เป็นกิจวัตร
- จัดระเบียบโน้ต
- ทำ Flashcard
Maintenance - กิจกรรมจำเป็น:
- ออกกำลังกาย
- พักผ่อน
- กินข้าว
ขั้นที่ 3: จัดสรร Time Block
หลักการสำคัญ:
1. Deep Work ในช่วงที่สมองดีที่สุด
- คนส่วนใหญ่: เช้า 9:00-12:00 หรือบ่าย 14:00-17:00
- หาช่วงที่รู้สึกว่าสมองทำงานได้ดีที่สุด ทำงานหนักช่วงนี้
2. Shallow Work ในช่วงพลังงานต่ำ
- ช่วงหลังกินข้าวเย็น (18:00-19:00)
- ก่อนนอน ทำงานเบาๆ
3. ใส่ Buffer Time
- อย่าเอา block ติดกันตลอดวัน
- ใส่ช่องว่าง 15-30 นาทีระหว่าง block
- ใช้ยืดเหยียด เดิน พักสมอง
4. Batch Similar Tasks
- จัดงานที่คลายกันให้อยู่ในช่วงเดียวกัน
- เช่น วันจันทร์ = วันทำโจทย์คณิต-ฟิสิกส์
- วันอังคาร = วันอ่านหนังสือชีวะ-เคมี
ขั้นที่ 4: ลงมือทำตามแผน
กฎสำคัญ:
- เมื่อถึงเวลา block ไหน เริ่มทำเลย ไม่รอ "mood"
- ปิดมือถือ ปิด notification
- บอกคนในบ้านว่าช่วงนี้กำลังทำงาน
- ถ้าทำไม่เสร็จ ต้อง reschedule ใน block อื่น
ขั้นที่ 5: Review และ Adjust
ทุกสัปดาห์:
- Block ไหนได้ผล Block ไหนไม่ได้ผล
- เวลาที่ตั้งไว้พอหรือเปล่า
- มีอะไรที่ต้องปรับเปลี่ยน
ตัวอย่าง Time Block ของนักเรียน ม.6



เครื่องมือช่วย Time Blocking
Digital:
- Google Calendar - ฟรี sync ทุกอุปกรณ์
- Notion - สร้าง weekly planner สวยงาม
- Structured (iOS) - แอพ Time Blocking เฉพาะ
- Sunsama - แพงหน่อยแต่ feature ครบ
Analog:
- สมุด Weekly Planner
- กระดาษ A4 วาดตารางเอง
- Whiteboard สำหรับดูภาพรวมสัปดาห์
ข้อดีและข้อเสียของ Time Blocking
ข้อดี: มีโครงสร้างชัดเจน ไม่สับสน ใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพ ลด procrastination เห็นความก้าวหน้าชัดเจน
ข้อเสีย: ต้องมีวินัยสูง ถ้ามีเหตุการณ์ไม่คาดคิด ต้องปรับแผนใหม่ บางคนรู้สึกกดดันเพราะเวลาจำกัด ต้องใช้เวลาวางแผน

เคล็ดลับให้ Time Blocking ได้ผล
- เริ่มจาก 1 สัปดาห์ - อย่าคาดหวังว่าจะทำได้สมบูรณ์แบบตั้งแต่แรก
- ยืดหยุ่นได้ - ถ้า block ไหนไม่ทันทำเสร็จ ย้ายไป block อื่นได้
- 70% Rule - วางแผนแค่ 70% ของเวลา เก็บ 30% ไว้รับมือกับเหตุฉุกเฉิน
- Color Code - ใช้สีต่างกันสำหรับงานต่างประเภท เห็นภาพรวมง่ายขึ้น
- ทบทวนทุกสัปดาห์ - เช็คว่า block ไหนได้ผล ไหนไม่ได้ผล แล้วปรับ
สรุป
Time Blocking ไม่ใช่แค่เทคนิคสำหรับนักธุรกิจ นักเรียนก็ใช้ได้และได้ผลดีมาก มันช่วยให้เรามี control กับเวลาของตัวเอง รู้ว่าแต่ละวันจะทำอะไร เมื่อไหร่ และไม่รู้สึกสับสนหรือหลงทาง ลองเริ่มจาก 1 สัปดาห์ วางแผนง่ายๆ ไปเรื่อยๆ เมื่อชินแล้วจะพบว่าชีวิตมีระเบียบและได้ผลมากขึ้น!
