หน้าแรก คลังความรู้ การพัฒนาตนเอง

"Time Blocking for Students - วางแผนเวลาแบบนักธุรกิจ ใช้ได้กับนักเรียนไหม?"

วันที่เวลาโพส 28 ตุลาคม 68 14:41 น.
อ่านแล้ว 0
พี่กองทัพ AP

Time Blocking คืออะไร?

Time Blocking คือการแบ่งเวลาในแต่ละวันเป็น "บลอก" และกำหนดว่าแต่ละบลอกจะทำอะไร แทนที่จะมีแค่ To-Do List ที่บอกว่า "วันนี้ต้องทำอะไรบ้าง" Time Blocking จะบอกว่า "เมื่อไหร่จะทำอะไร"

ตัวอย่าง To-Do List:

  • ทำการบ้านคณิต
  • อ่านหนังสือชีวะ
  • ทบทวนฟิสิกส์
  • ออกกำลังกาย

ตัวอย่าง Time Blocking:

  • 16:00-17:00 ทำการบ้านคณิต
  • 17:00-18:00 อ่านหนังสือชีวะ บท 5
  • 18:00-18:30 ทานข้าว พักผ่อน
  • 18:30-19:30 ทบทวนฟิสิกส์ (โจทย์แรง)
  • 19:30-20:00 ออกกำลังกาย

ทำไม Time Blocking ถึงดีกว่า To-Do List?

1. มี Commitment ชัดเจน

  • To-Do List บอกแค่ "ต้องทำ" แต่ไม่บอกว่า "เมื่อไหร่"
  • Time Blocking บังคับให้เรา commit ว่าจะทำเมื่อไหร่

2. ลด Decision Fatigue

  • ไม่ต้องคิดทุกครั้งว่า "ตอนนี้จะทำอะไรดี?"
  • เปิดปฏิทินมาดูว่าช่วงนี้ต้องทำอะไร ทำเลย

3. เห็นภาพรวมของเวลา

  • รู้ว่ามีเวลาว่างเท่าไหร่จริงๆ
  • ไม่ overcommit หรือคิดว่ามีเวลามากกว่าความจริง

4. ป้องกัน Procrastination

  • เมื่อมีเวลาจองไว้แล้ว รู้สึกมี accountability มากขึ้น
  • ยากที่จะผัดวันประกันพรุ่งเมื่อเห็นว่าช่วงนี้ต้องทำอะไร

Time Blocking สำหรับนักเรียน: วิธีเริ่มต้น

ขั้นที่ 1: รู้จักตารางเวลาประจำ

เขียนตารางสัปดาห์ โดยใส่สิ่งที่ เปลี่ยนไม่ได้:

  • เวลาเรียน (8:00-15:30)
  • เวลากินข้าว
  • เวลานอน
  • กิจกรรมประจำ (ชุมนุม กวดวิชา)

ผลที่ได้: จะเห็นว่ามี "เวลาว่าง" จริงๆ เท่าไหร่

ขั้นที่ 2: ระบุงานที่ต้องทำ

แบ่งงานออกเป็น 3 ประเภท:

Deep Work - งานที่ต้องสมาธิสูง:

  • ทำโจทย์คณิต ฟิสิกส์ เคมี
  • อ่านหนังสือเข้าใจลึก
  • เขียนเรียงความ รายงาน

Shallow Work - งานที่ทำได้ง่าย:

  • ทำการบ้านที่เป็นกิจวัตร
  • จัดระเบียบโน้ต
  • ทำ Flashcard

Maintenance - กิจกรรมจำเป็น:

  • ออกกำลังกาย
  • พักผ่อน
  • กินข้าว

ขั้นที่ 3: จัดสรร Time Block

หลักการสำคัญ:

1. Deep Work ในช่วงที่สมองดีที่สุด

  • คนส่วนใหญ่: เช้า 9:00-12:00 หรือบ่าย 14:00-17:00
  • หาช่วงที่รู้สึกว่าสมองทำงานได้ดีที่สุด ทำงานหนักช่วงนี้

2. Shallow Work ในช่วงพลังงานต่ำ

  • ช่วงหลังกินข้าวเย็น (18:00-19:00)
  • ก่อนนอน ทำงานเบาๆ

3. ใส่ Buffer Time

  • อย่าเอา block ติดกันตลอดวัน
  • ใส่ช่องว่าง 15-30 นาทีระหว่าง block
  • ใช้ยืดเหยียด เดิน พักสมอง

4. Batch Similar Tasks

  • จัดงานที่คลายกันให้อยู่ในช่วงเดียวกัน
  • เช่น วันจันทร์ = วันทำโจทย์คณิต-ฟิสิกส์
  • วันอังคาร = วันอ่านหนังสือชีวะ-เคมี

ขั้นที่ 4: ลงมือทำตามแผน

กฎสำคัญ:

  • เมื่อถึงเวลา block ไหน เริ่มทำเลย ไม่รอ "mood"
  • ปิดมือถือ ปิด notification
  • บอกคนในบ้านว่าช่วงนี้กำลังทำงาน
  • ถ้าทำไม่เสร็จ ต้อง reschedule ใน block อื่น

ขั้นที่ 5: Review และ Adjust

ทุกสัปดาห์:

  • Block ไหนได้ผล Block ไหนไม่ได้ผล
  • เวลาที่ตั้งไว้พอหรือเปล่า
  • มีอะไรที่ต้องปรับเปลี่ยน

ตัวอย่าง Time Block ของนักเรียน ม.6

เครื่องมือช่วย Time Blocking

Digital:

  • Google Calendar - ฟรี sync ทุกอุปกรณ์
  • Notion - สร้าง weekly planner สวยงาม
  • Structured (iOS) - แอพ Time Blocking เฉพาะ
  • Sunsama - แพงหน่อยแต่ feature ครบ

Analog:

  • สมุด Weekly Planner
  • กระดาษ A4 วาดตารางเอง
  • Whiteboard สำหรับดูภาพรวมสัปดาห์

ข้อดีและข้อเสียของ Time Blocking

ข้อดี:  มีโครงสร้างชัดเจน ไม่สับสน  ใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพ ลด procrastination  เห็นความก้าวหน้าชัดเจน

ข้อเสีย:  ต้องมีวินัยสูง  ถ้ามีเหตุการณ์ไม่คาดคิด ต้องปรับแผนใหม่  บางคนรู้สึกกดดันเพราะเวลาจำกัด  ต้องใช้เวลาวางแผน

เคล็ดลับให้ Time Blocking ได้ผล

  1. เริ่มจาก 1 สัปดาห์ - อย่าคาดหวังว่าจะทำได้สมบูรณ์แบบตั้งแต่แรก
  2. ยืดหยุ่นได้ - ถ้า block ไหนไม่ทันทำเสร็จ ย้ายไป block อื่นได้
  3. 70% Rule - วางแผนแค่ 70% ของเวลา เก็บ 30% ไว้รับมือกับเหตุฉุกเฉิน
  4. Color Code - ใช้สีต่างกันสำหรับงานต่างประเภท เห็นภาพรวมง่ายขึ้น
  5. ทบทวนทุกสัปดาห์ - เช็คว่า block ไหนได้ผล ไหนไม่ได้ผล แล้วปรับ

สรุป

Time Blocking ไม่ใช่แค่เทคนิคสำหรับนักธุรกิจ นักเรียนก็ใช้ได้และได้ผลดีมาก มันช่วยให้เรามี control กับเวลาของตัวเอง รู้ว่าแต่ละวันจะทำอะไร เมื่อไหร่ และไม่รู้สึกสับสนหรือหลงทาง ลองเริ่มจาก 1 สัปดาห์ วางแผนง่ายๆ ไปเรื่อยๆ เมื่อชินแล้วจะพบว่าชีวิตมีระเบียบและได้ผลมากขึ้น! 

คนอื่นๆอ่านเรื่องนี้ แล้วมักจะอ่านเรื่องต่อไปนี้ต่อ