หน้าแรก ติวอังกฤษ ติด Inter ทุนเรียนต่อ

อยากได้ทุนเรียนต่อต่างประเทศฟรี มาเริ่มเตรียมตัวกันเลย

วันที่เวลาโพส 23 กรกฎาคม 61 14:26 น.
อ่านแล้ว 0
P' แพว AdmissionPremium
ในช่วงนี้มีทุนการศึกษาให้ไปเรียนต่อแบบไม่เสียค่าใช้จ่ายออกมาเยอะ ปัญหาที่หลายๆ คนต้องเจอ คือ ไม่รู้จะเตรียมตัวยังไง ไม่รู้จะเริ่มจากอะไรก่อน และสุดท้ายก็พลาดโอกาสในการสมัครไป ดังนั้น บทความนี้เราจะขอนำเสนอเทคนิคการเตรียมตัวให้พร้อม สำหรับใครที่อยากได้ทุนไปเรียนต่อต่างประเทศฟรีๆ ต้องอ่านไว้เลย

1. เตรียมคะแนนสอบภาษาอังกฤษ

คะแนนสอบภาษาอังกฤษก็คือ TOELF หรือ IELTS เป็นผลทดสอบภาษาอังกฤษที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก มหาวิทยาลัยไหนๆ ก็ยอมรับคะแนนดังกล่าว ใครที่คิดจะไปเรียนเมืองนอกแน่นอน ต้องสอบเก็บไว้

       TOELF มีการสอบหลายแบบ เช่น สอบด้วยคอมพิวเตอร์ สอบด้วยกระดาษ ถ้าเป็นมหาวิทยาลัยดังระดับโลก จะเรียกที่ 100 คะแนนขึ้นไป สำหรับคนที่คิดจะสอบไว้สมัครทุนต่างๆ ควรได้อย่างต่ำที่ 80 คะแนนขึ้นไป สามารถสมัครสอบได้ที่ www.toefl.org หรือ ผ่านเอเจนซี่ต่างๆ ที่เป็นตัวแทนรับสมัคร ค่าสอบอยู่ที่ 160 USD

       IELTS มีคะแนนเต็มที่ 9.0 มหาวิทยาลัยทั่วไปจะเรียกที่ 5.5 คะแนนขึ้นไป แต่มหาวิทยาลัยดังๆ จะกำหนดไว้ที่ 7.0 สำหรับคนที่คิดจะสอบไว้สมัครทุนต่างๆ ควรได้ 6.0 คะแนนขึ้นไป สามารถสมัครสอบได้ที่ British Council ค่าสอบประมาณ 6,000 บาท

ทั้ง TOELF และ IELTS ข้อสอบจะมี 4 พาร์ทคือ ฟัง พูด อ่าน เขียน โดยน้องต้องทำได้ดีทั้ง 4 พาร์ท จะเก่งอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ เพราะบางมหาวิทยาลัยก็จะมีเงื่อนไขคะแนนด้วย เช่น คะแนนสอบ IELTS แต่ละส่วนจะมีคะแนนเต็มที่ 9.0 จากนั้นจะนำมาหาร 4 เพื่อสรุปเป็นคะแนนจริง แต่บางมหาวิทยาลัยจะกำหนดว่า คะแนน IELTS ต้องได้ 6.5 ขึ้นไป โดยไม่มีพาร์ทไหนได้ต่ำกว่า 6.0 ดังนั้นต่อให้บางคนได้พาร์ทการพูด การเขียน การฟังเต็ม 9.0 แต่ได้พาร์ทอ่านแค่ 5.0 แบบนี้ถือว่าไม่ผ่านเกณฑ์ของมหาวิทยาลัยนั้น และคะแนนการสอบจะเก็บไว้ใช้ได้ 2 ปี ส่วนมากจะจัดสอบเดือนละ 2-4 ครั้ง ผลสอบจะออกหลังจากการสอบประมาณ 2 สัปดาห์


2. ฝึกทักษะภาษาอังกฤษให้เก่ง
นอกจากนี้ คำถามที่ทุกคนอยากรู้คือ ไม่เก่งอังกฤษจะไปเรียนต่อนอกได้ยังไง? และก็เป็นคำถามที่ยังไร้คนตอบอยู่จนทุกวันนี้ ก็ขอตอบเลยว่า ถ้าหากทางบ้านคุณค่อนข้างมีฐานะ ออกค่าใช้จ่ายเอง ยังไงก็มีโอกาสได้เรียนอยู่แล้ว เพราะในปัจจุบัน "เงิน" สามารถช่วยจัดการปัญหาหลายๆ อย่างได้ดี เช่น

หากคุณสมัครเรียนในมหาวิทยาลัยของเมืองนอกโดยออกเงินเอง ไม่ได้ขอทุนและมีคะแนนสอบภาษาอังกฤษ TOELF หรือ IELTS ไม่ค่อยดีนัก มหาวิทยาลัยจะยังไม่ปฏิเสธ แต่จะยื่นข้อเสนอมาว่า จะรับเข้าเรียนโดยต้องไปสอบ TOELF หรือ IELTS ใหม่อีกรอบให้ผ่านตามเกณฑ์ที่กำหนด ดังนั้นหากเราไปสอบใหม่ให้ได้คะแนนดีขึ้น และจ่ายค่าเทอม แค่นี้เราก็ได้เรียนสมใจอยากแล้ว

ถ้าใครจะสมัครทุนหรือสอบชิงทุน ขอบอกเลยว่า "ยากมาก ไม่น่ารอด" เรื่องทุนก็มีแน่นอน แต่มีให้สำหรับคนที่เหมาะสมที่สุด ซึ่งคำว่า "เหมาะสมที่สุด" นั้น ก็รวมไปถึงความเก่งทางวิชาการและภาษาอังกฤษด้วย ก็จะสะท้อนผ่านคะแนน TOELF หรือ IELTS ที่ต้องใช้ยื่นเพื่อสมัครทุน การจะได้ทุนบอกเลยไม่ใช่ง่ายๆ ดังนั้นคนที่ไม่เก่งภาษาอังกฤษ ถ้าจะไปสมัครทุนหรือสอบชิงทุนโอกาสได้น้อยมากๆ


3. สอบวัดระดับภาษาอื่นที่จำเป็น 
ใครที่คิดจะไปเรียนต่อในประเทศที่ใช้ภาษาที่ 3 ต้องรู้ไว้ โดยเฉพาะภาษาเกาหลี จีน ญี่ปุ่น ควรไปสอบวัดระดับภาษานั้นๆ เก็บไว้ เพราะบางทุนกำหนดว่า ต้องมีคะแนนวัดระดับของภาษานั้นประกอบไปในการยื่นสมัครด้วย หรือบางทุนไม่ได้บังคับว่าต้องมี แต่มักลงท้ายว่า "ผู้ที่มีผลคะแนนวัดระดับของภาษานั้นๆ จะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ" ดังนั้นควรจะสอบเก็บไว้เป็นอย่างมาก เช่น

การสอบวัดระดับภาษาจีน (HSK) จัดสอบปีละ 2 ครั้ง กลางปีและปลายปี สมัครได้ที่ มหาวิทยาลัยภาษาและวัฒนธรรมปักกิ่ง สำนักงานกรุงเทพฯ
การสอบวัดระดับภาษาญี่ปุ่น (JLPT) จัดสอบปีละ 2 ครั้ง กรกฎาคมและธันวาคม สมัครได้ที่ โรงเรียนสอนภาษาสมาคมนักเรียนเก่าญี่ปุ่น
การสอบวัดระดับภาษาเกาหลี (TOPIK) จัดสอบปีละครั้ง ในเดือนตุลาคม สมัครได้ที่ โรงเรียนนานาชาติเกาหลี


4. เตรียมเอกสารให้พร้อม
เอกสารที่ใช้ในการสมัครทุนต่างๆ นั้นมีเยอะมาก อ่านให้ละเอียด ห้ามขาดตกบกพร่องเด็ดขาด โดยเอกสารที่ต้องเตรียมอย่างน้อยๆ เลย คือ

เอกสารที่ต้องขอจากโรงเรียน นั่นคือ ใบแสดงผลการศึกษาหรือทรานสคริปต์ และ ใบรับรองสภาพการเป็นนักเรียนหรือใบรับรองการจบการศึกษา
เอกสารส่วนตัวของเราเอง ประกอบด้วย สูติบัตร (ใบเกิด) ทะเบียนบ้าน และหนังสือเดินทางหรือพาสปอร์ต
เอกสารที่ต้องนำไปแปลเป็นภาษาอังกฤษ  ควรนำไปแปลตามร้านรับแปลเอกสารต่างๆ เอกสารที่ควรนำไปแปลคือ เอกสารที่ต้องเน้นความแม่นยำและถูกต้อง นั่นก็คือเอกสารราชการ เช่น ใบสูติบัตร ใบทะเบียนบ้าน เมื่อแปลเป็นภาษาอังกฤษมาแล้ว ต้องมีการรับรองว่าเอกสารที่แปลนั้นถูกต้อง โดยหน่วยงานที่รับผิดชอบคือ กรมการกงสุล 

ส่วนเอกสารอื่นๆ เช่น ใบแสดงผลการศึกษา ใบรับรองสภาพการเป็นนักเรียน หากโรงเรียนไม่สามารถออกเป็นภาษาอังกฤษได้จริงๆ ควรนำไปให้ร้านรับแปลเอกสารแปลเหมือนกัน Portfolio หรือ ใบประกาศนียบัตร ที่เคยได้รับจากการเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ สามารถแปลเองได้เลย

ปล. เอกสารทั้งหมดนี้สำคัญมากนะ อยากให้ทุกคนเตรียมเอกสารในมือให้พร้อมล่วงหน้า เพราะมีหลายคนสมัครทุนไม่ทันก็เพราะติดปัญหาเรื่องเอกสารนี่แหละ


5. หาที่เรียน อยากเรียนสาขาอะไร? มหาวิทยาลัยไหน?
หากเป็นทุนการศึกษาของมหาวิทยาลัย เราคงไม่ต้องคิดมาก เพราะหากได้ทุนมาก็ต้องไปเรียนที่มหาวิทยาลัยนั้นอยู่แล้ว แต่สำหรับทุนของรัฐบาลของประเทศต่างๆ เช่น ทุนของรัฐบาลเกาหลี ทุนของรัฐบาลจีน ได้ทุน 1 อำเภอ 1 ทุน เราสามารถเลือกมหาวิทยาลัยที่จะเรียนเองได้ คำถามที่มักจะตามอยู่เป็นประจำคือ "อยากเรียนด้านการเงินที่จีน มหาวิทยาลัยไหนดีและดังบ้าง?"

สิ่งที่ช่วยตอบโจทย์ตรงนี้ให้เราได้ก็คือ RANKING หรือการจัดอันดับ สามารถค้นหาจากกูเกิ้ลได้ไม่ยาก เช่น "TOP FINANCE PROGRAM IN CHINA" เพียงเท่านี้ กูเกิลก็จะช่วยหาคำตอบให้เราได้แล้ว ดังนั้นเราควรศึกษาล่วงหน้าไว้บ้างว่า สาขาที่เราอยากเรียนนั้นมีที่ใดดังบ้าง เราจะได้มีเป้าหมายมากขึ้นว่าเราอยากเรียนมหาวิทยาลัยไหน

และที่สำคัญนอกจากเลือกมหาวิทยาลัยที่ใช่แล้ว อย่าลืมเป้าหมายสำคัญอีกอย่างรองลงมาคือการเลือกสาขาเรียนที่เราสนใจ ก็เหมือนการเลือกมหาวิทยาลัย นอกจากถามตัวเองว่าชอบสาขาไหนแล้ว ก็อย่าลืมหาข้อมูลการเรียนสาขานั้นด้วยว่าหลักสูตรของที่ไหนสามารถตอบโจทย์การเรียนของเราได้ 


ที่มา :
www.hotcourses.in.th 
www.britishcouncil.or.th 
medium.com

คนอื่นๆอ่านเรื่องนี้ แล้วมักจะอ่านเรื่องต่อไปนี้ต่อ

หมวด